การสวดมนต์ มีความนิยมมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แม้ในศาสนาพราหมณ์ ก็ได้นิยมสวดดังที่เรียกกันว่า สาธยายมนต์ ร่ายมนต์ เพื่อความทรงจำพระเวทบ้าง เพื่อสิริมงคลบ้าง ในทางพระพุทธศาสนา ก็มีการสวดสาธยายเช่นเดียวกัน ในชั้นต้นเพ่งเพียงสวดสาธยาย เพื่อความทรงจำหลักคำสอนที่เป็นพระพุทธวจนะเท่านั้น เมื่อชาวบ้านได้ยินพระสงฆ์สวดสาธยายก็พากันอนุโมทนา และได้ถือกันว่าการได้ยินได้ฟังพระสงฆ์สวดสาธยายเช่นนั้นเป็นสิริมงคล ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีตำราที่จดจารึกเอาไว้ จึงต้องท่องจำให้ได้ด้วยวาจา
บทสวดในพระพุทธศาสนามีมากมาย พระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ถือเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประโยชน์ของการสวดมนต์ไหว้พระที่เห็นได้ชัด มี ๓ ประการ คือ
1. เป็นปริตรป้องกันเหตุเภทภัยต่าง ๆ
2. เป็นการทรงจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้
3. เป็นกรรมฐานอบรมจิตใจของตน ทั้งที่เป็นสมถะและวิปัสสนา
ด้วยเหตุทั้ง 3 ประการนี้ ที่ถือกันว่าเป็นสิริมงคล และสามารถที่จะป้องกันภัยอันตรายได้นั้น จึงพากันนิยมการสวดสาธยาย เป็นไปทั้งทางวัดและทางบ้าน ภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาได้สวดเป็นประจำ เช่น ทำวัตรไหว้พระ เป็นต้น ในบางสมัยเมื่อปรารภเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ก็อาราธนาพระสงฆ์สวดเพื่อสิริมงคลบ้าง เพื่อเจริญความสังเวชบ้าง เมื่อมีความนิยมมากขึ้น ต่อมาก็เลยนิยมเป็นพิธีทั้งในพระราชพิธี และพิธีของปวงชนทั่วไป
การสวดมนต์ ได้มีเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ มีบัญญัติในพระวินัยของนางภิกษุณีก็มี เช่น ห้ามนางภิกษุณี และทรงห้ามพระภิกษุเรียนเดรัจฉานวิชา แต่ให้เรียนปริตรป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆ เมื่อมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น พระสงฆ์ก็ใช้สวดสาธยายพระพุทธวจนะนั้นตามสมควรแก่เหตุการณ์
ดังมีเรื่องเล่าว่าเมื่อคราวเมืองเวสาลีเกิดโรคระบาด ทำให้คนและสัตว์ตายเป็นอันมาก พระอานนท์ ได้ไปยังที่นั้นแล้วสวดรตนสูตร โรคนั้นก็ระงับไป หรือเมื่อสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงประชวร โปรดให้พระจุนทเถระสวดโพชฌงคสูตรถวาย หรือครั้งหนึ่งพวกภิกษุไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ป่า ถูกพวกอมนุษย์รบกวน กลับมาเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาค พระองค์โปรดให้สวดกรณียเมตตสูตร แล้วอยู่ต่อไป ภัยเหล่านั้นก็ไม่มี หรือเมื่อพระโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะเป็นไข้หนัก พระพุทธเจ้าได้สวดโพชฌงคสูตร ให้สดับแล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น
บทบูชาพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)
บทแปล
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันต์ หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าขออภิวาทพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาค
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนมัสการพระธรรม
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์
บทขอขมาพระรัตนตรัย
วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
บทแปล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระองค์จงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรมเพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระธรรมจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระสงฆ์จงให้อภัยโทษแก่้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
บทสวดชัยมงคลคาถา (พาหุง)
เป็นคาถาที่เก่าแก่ ซึ่งกล่าวถึงชัยชนะขององค์พระพุทธเจ้าในแต่ละภพชาติ ตามตำนานเล่าว่า สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แต่งคาถาพาหุง เพื่อถวายต่อองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้พระองค์ไว้สวดเป็นประจำในพระบรมมหาราชวังและระหว่างออกศึกสงคราม จึงมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชแห่งพม่า และกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากกรุงหงสาวดีได้สำเร็จ นับเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน – เม แปลว่าข้าพเจ้า)
บทสวดพาหุง
1. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
2. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
3. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
4. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
5. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
6. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
7. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
8. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
บทสวดมหาการุณิโก
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*

บทสวดพระคาถาชินบัญชร
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตัง สุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ
1. ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา
2. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐาวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา
3. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโล จะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร
4. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก
5. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโน อุภาสุง วามโสตะเก
6. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภีโต มุนิ ปุงคะโว
7. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
8. ปุณโณ อังคุลิมาโลจะ อุปาลี นันทะสีวะลี เถรา ปัญจะอิเมชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ
9. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชินโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
10. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
11. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
12. ชินะ นานา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลัง กะตา วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
13. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
14. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮีตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสา สะภา
15. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติ.
บทสวดอิติปิโสถอยหลัง
ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต
ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ
ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช
โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯ
สรรพคุณ
สิทธิการิยะ พระอิติปิโสถอยหลัง ผู้ใดเล่าไว้ คุ้มได้มากครัน ศัตรูนึกหวัง มิได้กล้ำกราย เป็นเสน่ห์แก่เขา เข้าหาเจ้านาย ท้าวพระยาทั้งหลาย มีจิตเมตตา ปรารถนาสิ่งใด นึกไว้ในใจ ดังคิด อย่าได้แคลงจิต คิดไปสู่อื่น ฝูงคนทั้งพื้น คงจะบูชา พระคาถานี้ อุปเท่ห์พิธี เหลือจะพรรณนา ปลุกเสกกายา ได้สมดังใจ คงกระพันชาตรี ฤทธีมากมาย ขอท่านทั้งหลาย จงหมั่นภาวนาฯ
จะกล่าวอุปเท่ห์ พระอิติปิโสถอยหลัง ผู้ใดเรียนได้ ไว้เป็นปิยัง ศัตรูนึกหวัง บ่มิกล้ำกราย เป็นที่เสน่หาเทพารักษ์ ทั้งมนุษย์หญิงชาย สิ่งใดปรารถนา ภาวนาอย่าคลาย ถ้วนร้อยแปดหมาย ทำเมื่อเที่ยงคืน คนรักนักหนา ถือดังญาติกา ทั้งอายุยืน จะทำสิ่งไร ตั้งใจอย่าขืน คืออย่าเป็นอื่น บ่ายหน้าหนบูรพ์ ไม้รักซ้อนแกะทำ พระภควัมอย่าสูญ ใส่น้ำมันแช่ เสกแปรเป็นคุณ บ่ายหน้าหนบูรพ์ จนพระลุกนั่ง ใช้เป็นเสน่ห์ ล่องหนกำบัง ออกสงครามเจรจา ท้าวพระยาปิยัง ฝูงชนทั่วทั้ง รักนักรักหนา ถ้าท่านจองจำ ตั้งจิตบริกรรม ด้วยพระคาถา มนต์น้ำหมากนั้น 14 คาบตรา ถูกต้องขื่อคา หลุดลุ่ยบัดใจ ถ้าหาน้ำหมากมิได้ อาจารย์กล่าวไว้ ใช้ร่ายเป่าไป ขื่อคาอันแข็ง อ่อนคือลนไฟ เสกสิ่งใดๆ กินคงกระพัน 13 คาบหนา 15 คาบว่า ใช้เป็นจังงัง โดยท่านกล่าวมา เอาลิ้นดุนเพดาน 15 คาบอย่าคลาด เป่าไปอย่าคลา กระทืบตีนออกมา อาวุธศาสตรา ลุ่ยหลุดจากมือ มหาละลวยฤา เป็นได้เหมือนกัน ให้ร่ายเป่าไป 11 คาบนั้นไซร้ เป่าไปสู่มัน มันมาหาเรา เขาผูกมัดขันชะเนาะ บ่ายหน้าจำเพาะ สู่หัวเชือกเข้า ถ้วนร้อยแปดเป่า สู่หัวเชือกเข้า ลุ่ยหลุดแลนา ถ้าจะลุยอัคคี เสกหมากกินดี เสกน้ำมันทา 5 คาบให้ไว้ ให้ใช้คาถา เสกน้ำมันทา ไม่มีโภยภัย ถ้าจะล้วงตะกั่ว เสกน้ำมะกรูด ยกมือขึ้นไหว้ เจ้าประคุณทูนหัว ไม่มีอันตราย ผิวจะแก้ คุณเขาทำแล แม้คุณทั้งหลาย ยืนเหนือลมร่าย 10 คาบโดยหมาย เป่าไปอย่าคลา หายสิ้นสูญพลัน เมื่อทำรำลึก ตรึกหาพระพุทธ พระธรรมสังฆา ขอคุณบิดา ทั้งพระมารดา คุณครูอุปัชฌาย์ อยู่เหนือเกสา เสกหมากให้กิน ท่านรักนักหนา เสกน้ำล้างหน้า ไม่มีโภยภัย ทั้งสองสิ่งนี้ เสก 4 คาบตรา ไม่ม้วยมรณา เทวดาดลใจ อนึ่งเล่าหนา ขอดชายผ้าไว้ ผูกเป็นหัวพิรอด 17 คาบใส่ หัวเป็นประเจียด ภาวนาเดินไป ขึ้นลงที่ไหน คนไม่เห็นเรา ปัดพิษงู ตะขาบ แมลงป่อง 3 ที คงกระพันชาตรี 19 คาบหนา แม้นเขาตามไป จงหักกิ่งไม้ เสกขวางมรรคา เสกสิ่งไร ๆ ตามใจปรารถนา ศัตรูตามมา แคล้วคลาดไปไกล อนึ่งท่านว่าไว้ ให้เอาใบไม้รู้นอน 7 สิ่ง เถ้าตายโหงตายห่า ไปบัดพลีมา วันภุมมาเสารี เสกคาถานี้ 108 คาบหนา พาตัวเดินไป เข้าในหลังคา ฝูงชนทั่วหน้า พากันหลับใหล
| หน้าที่เข้าชม | 943,669 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 808,721 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 21 ก.ย. 2562 |
| ร้านค้าอัพเดท | 29 ต.ค. 2568 |
